วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

AK-47 สุดยอดปืนที่่ดีที่สุดในโลก

ปืนเอเค-47 รุ่นดั้งเดิม
Automatic Kalashnikov Model of 1947 หรือ AK-47
ชนิด ปืนเล็กยาวจู่โจม
สัญชาติ Flag of the Soviet Union สหภาพโซเวียต
สมัย สงครามเกาหลี-ปัจจุบัน
การใช้งาน อาวุธประจำกาย
เป้าหมาย บุคคล
เริ่มใช้ พ.ศ. 2490
ช่วงผลิต พ.ศ. 2490-ปัจจุบัน
ช่วงการใช้งาน พ.ศ. 2490 - ปัจจุบัน
ผู้ปฏิบัติการ มิไคล์ ที คาลาชนิคอฟ (Mikhail T.Kalashnikov)
สงคราม สงครามเกาหลี,สงครามเวียดนาม, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามอิรัก
ขนาดลำกล้อง 7.62 มิลลิเมตร (.30 Russian)
ความยาวลำกล้อง 415 มิลลิเมตร
กระสุน 7.62 x 39 ม.ม.รุ่นเอ็ม43
อัตราการยิง 600 นัด/นาที
ระยะหวังผล 300 เมตร
น้ำหนัก 4.3 กิโลกรัม
ความยาว 870 มิลลิเมตร
แบบอื่น เอเค-47, เอเคเอส, เอเคเอ็ม, เอเคเอ็มเอส, เอเค-74, เอเค-101, เอเค-102, เอเค-103, เอเค-107, เอเค-108

เอเค 47 (อังกฤษ: AK-47) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "อาก้า" นั้น เป็นคำย่อมาจากภาษารัสเซีย "Автомат Калашникова образца 1947 года" (อัฟโตมัท คาลาชนิโควา 1947 โกดาก) หรือชื่อในภาษาอังกฤษคือ "Automatic Kalashnikov Model of 1947 gun" เป็นปืนเล็กยาวจู่โจม ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแบบระบบแก๊ส ซึ่งออกแบบโดยมิไคล์ ที คาลาชนิคอฟและมีการผลิตออกมาโดยกลุ่มบริษัทอิชซ์มาช ผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ของประเทศรัสเซียซึ่ง ได้รับสิทธิบัตรในการผลิตปืนรุ่นนี้จากเขาแต่เพียงผู้เดียวในปีพ.ศ. 2489 และเข้าประจำการในกองทัพโซเวียตในปีพ.ศ. 2492 โดยมีการใช้ในอย่างแพร่หลายในหลายประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ใน ช่วงสงครามเย็นซึ่ง ปืนเอเค-47 ได้เข้าไปมีบทบาทเป็นอย่างมากในสมรภูมิรบหลายแห่งในช่วงนั้น โดยปรากฏตัวครั้งแรกในสงครามเกาหลีซึ่งเป็นการประเดิมใช้งานและถูกกล่าวขวัญ ถึงประสิทธิภาพของปืนไรเฟิลอัตโนมัติรุ่นนี้ที่สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง มากกว่าปืนไรเฟิลอัตโนมัติเอ็ม14 และปืนเออาร์-15 ของฝ่ายโลกเสรีในขณะนั้น


ประวัติความเป็นมาของปืนเอเค-47

ปืนเอเค-47 ได้รับการออกแบบครั้งแรกในปีพ.ศ. 2484 และพัฒนาจนเป็นรูปแบบมาตรฐานในปีพ.ศ. 2490 โดยได้รับต้นแบบและแรงบันดาลใจมาจากปืนไรเฟิลจู่โจมอัตโนมัติ MP44 หรือปืนเอสทีจี 44 ซึ่งเป็นปืนไรเฟิลจู่โจมประจำกายของกองทัพนาซีเยอรมันที่ใช้ในช่วงสมรภูมิเลือด ณ เมืองสตาลินกราดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นปืนไรเฟิลอัตโนมัติที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นเมื่อเทียบกับปืน ไรเฟิลอัตโนมัติของชาติอื่นๆ ในช่วงเดียวกัน และตัวเขาเองก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บด้วยปืนชนิดนี้ด้วย ซึ่งเขาก็เห็นว่าไม่ยุติธรรมเลยที่กองทัพนาซีเยอรมันได้ใช้อาวุธปืน อัตโนมัติอันทันสมัยมากมายหลายรุ่น ตั้งแต่ปืนไรเฟิลแบบลูกเลื่อนคาราไบเนอร์ 98เค ปืนกลมือเอ็มพี 40 ปืนกลเบาเอ็มจี 34 และปืนกลเบาเอ็มจี 42 รวมทั้งรถถังยานเกราะอีกมากมาย ในขณะที่กองทัพโซเวียตกลับมีเพียงนาแกนท์ เอ็ม1895อันคร่ำครึมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติเอสวีที-40 กับปืนกลมือพีพีเอสซีเอส-41 เท่านั้น ส่วนปืนกลระดับหมู่ก็มีเพียงปืนกลเดกท์ยาร์ยอฟเท่า นั้น โดยรถถังยานเกราะกับยุทโธปกรณ์ต่างๆของกองทัพโซเวียตในขณะนั้น ถ้าไม่เป็นของเก่าตกค้างมาจากสงครามโลกครั้งที่แล้วส่วนมากก็อยู่ในสภาพเก่า และไม่พร้อมใช้เนื่องจากขาดแคลนงบประมาณซ่อมแซม

ทหารนาซีเยอรมันกำลังรวมพลเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่สนามรบ ณ เมืองสตาลิน กราด ประเทศสหภาพโซเวียต สังเกตทหารนายที่สามจากซ้ายสะพายปืนเอ็มพี 44 อยู่ ส่วนทหารนายที่สี่กำลังสะพายปืนกลเบาเอ็มจี 42[1]

ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรต่างได้ยึดอาวุธและเทคโนโลยีของกองทัพนาซีเยอรมันไป ใช้ในการผลิตอาวุธของตน โดยคาลาชนิคอฟเองก็ได้นำรูปทรงและระบบกลไกของปืนไรเฟิลอัตโนมัติเอสทีจี 44 ปืนเอสวีที-38/เอสวีที-40 รวมทั้งกระสุนขนาด 7.62x54 ม.ม.และขนาด 7.92x33 ม.ม.มาเป็นต้นแบบในการพัฒนา โดยได้มีการออกแบบและพัฒนาในเรื่องของกระสุนก่อน ซึ่งกระสุนมาตรฐานของกองทัพโซเวียตในขณะนั้นคือกระสุนขนาด 7.62x54 ม.ม.ซึ่งประจำการมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2434 โดยได้พัฒนาออกมาเป็นกระสุนขนาด 7.62x41 ม.ม.และมีการพัฒนาปืนไรเฟิลอัตโนมัติขึ้นมาใช้กับกระสุนขนาดนี้ด้วยคือปืนเอ เค-46 ซึ่งยังมีรูปทรงคล้ายกับปืนเอสทีจี 44 อยู่มาก แต่เนื่องจากประสิทธิภาพของปืนและกระสุนไม่ดีเท่าที่ควรนักจึงได้มีการปรับ ปรุงปืนและกระสุนใหม่อีกครั้ง โดยมีการปรับปรุงกระสุนก่อนจนเป็นกระสุนขนาด 7.62x39 ม.ม.ซึ่งได้นำมาใช้ครั้งแรกกับปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติเอสเคเอสหรือ ปืนเซกาเซ่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก่อน พร้อมทั้งนำปืนไรเฟิลอัตโนมัติเอเค-46 มาปรับปรุงระบบกลไกและรูปทรงอีกครั้ง โดยได้เอารูปทรงของปืนเอสเคเอสเข้ามาร่วมในการออกแบบด้วยจนออกมาเป็นปืนเอ เค-47 ที่มีรูปทรงอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

คุณสมบัติของปืนเอเค-47

ปืนเอเค-46 ยังมีรูปทรงทั่วไปคล้ายปืนเอสทีจี 44 อยู่
ปืนเอเค-47 รุ่นต้นแบบ ผลิตในปีพ.ศ. 2490
ปืนเอเค-47 รุ่นปรับปรุงในปีพ.ศ. 2498

คุณสมบัติของปืนเอเค-47


ปืนเอเค-47 เองเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นปืนที่มีน้ำหนักเบาพอสมควร มีขนาดสั้นกะทัดรัดและมีขนาดกระสุนที่เหมาะสม สามารถเลือกทำการยิงได้ 3 โหมดคือ เซฟ อัตโนมัติ และยิงแบบกระตุก มันยังเป็นปืนที่สามารถถอดล้างได้ง่ายมาก นับเป็นปืนเล็กยาวจู่โจมแบบหนึ่งที่ยังมีการใช้อย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยมีการผลิตปืนเอเค-47 และปืนรูปแบบอื่นๆที่พัฒนาโดยใช้ปืนเอเค-47 เป็นต้นแบบเป็นจำนวนมากกว่าปืนเล็กยาวจู่โจมชนิดอื่นๆ และยังคงมีการผลิตและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาในปีพ.ศ. 2502 ก็ได้มีการนำปืนเอเค-47 มาทำการแก้ไขปรับปรุงระบบกลไกและวิธีการผลิตต่างๆให้ดีขึ้นและเรียกในชื่อ ใหม่ว่าเอเคเอ็ม (AKM : Avtomat Kalashnikova Modernizirovannyj หรือ Kalashnikov Automatic rifle, Modified) ซึ่งปืนรุ่นนี้จะมีการปั้มขึ้นรูปโครงปืนด้วยเครื่องจักรและมีการทำ สัญลักษณ์ด้วยการปั้มดุนแผ่นเหล็กโครงปืนให้เป็นเพียงช่องเล็กๆรวมทั้งมีการ ดัดแปลงปากลำกล้องให้เป็นรูปเฉียงปากฉลามเพื่อลดอาการสะบัดขึ้นเมื่อทำการ ยิง ซึ่งผิดกับกระบวนการผลิตของปืนเอเค-47 ที่มีการผลิตด้วยการนำแผ่นเหล็กมาเซาะร่องและปั้มดุนโครงปืนเข้าไปเป็นรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เหนือช่องใส่ซองกระสุน และปากลำกล้องตัดตรงทำให้เวลายิงด้วยระบบอัตโนมัติ ปืนจะสะบัดเป็นอย่างมาก

ต่อมาในปีพ.ศ. 2517 กองทัพโซเวียตก็ได้มีการนำปืนเอเค-47 และปืนเอเคเอ็มมาทำการปรับปรุงและพัฒนาอีกครั้งจนเป็นปืนเอเค-74 และนำมาใช้กับกระสุนขนาด 5.45x39 ม.ม.รุ่นเอ็ม74 หรือ 5เอ็น7 ซึ่งได้รับพัฒนาและปรับปรุงมาจากกระสุนขนาด 5.56x45 ม.ม.แบบนาโต้ของกองทัพสหรัฐอเมริกาและกองกำลังนาโต้สามารถติดตั้งอุปกรณ์ เสริมได้ เช่น ปืนยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม.แบบติดตั้งใต้ลำกล้อง รุ่น จีพี-25 ดาบปลายปืน ฯลฯ เป็นต้น

อ้างอิง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น