วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สงครามโลกครั้งที่ 3
















หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 หยุดลง สหภาพโซเวียต และสหรัฐขับไล่ญี่ปุ่นออกจากเกาหลี และแบ่งประเทศเกาหลี ดูแลกันคนละขึ้น ฝั่งเหนือปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ ส่วนทางใต้ปกครองโดยทุนนิยมเสรี และเกิดสงครามขึ้น ฝั่งเหนือและฝั่งใต้ สู้รบกัน จนมีเพื่อนร่วมชาติตายกันมากมาย





สหรัฐลูกพี่เกาหลีใต้ก็สนับสนุนเงินและอาวุธให้เกาหลีใต้ไว้สู้พวกคอมมิวนิสต์และรวมประเทศกันให้ได้




จีนและสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นลูกพี่ของเกาหลีเหนือก็ช่วยสนับสนุนอาวุธเพื่อจัดการกับพวกทุนนิมยมให้สิ้นซากเช่นกัน และให้อาวุธปืนไรเฟิลจู่โจมชนิดใหม่คือ AK-47 ซึ่งตอนนั้น พวกทุนนิยมพึ่งจะมี M-14 และปืนกลสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2





เกาหลีเหนือได้รับ เครื่องบินรบที่ทันสมัย คือ MIG-15 สมัยนั้น สามารถสู้เครื่องบินไอพ่นของสหรัฐได้อย่างเท่าเทียม



และท้ายที่สุด จีนส่งกองทัพมานับล้าน เพื่อช่วยเกาหลีเหนือ และสู้กับเกาหลีใต้และสหรัฐจนย่อยยับ สหรัฐจึงต้องเซ็นสัญญาหยุดยิงไว้ ในปี 1953 ซึ่งไม่ใช่สัญญาสงบศึก เกาหลีใต้ก็ยังอยู่ในภาวะสงครามอยู่จนถึงปัจจุบัน.... ซึ่งก็มีการยั่วยุแถวชายแดนกันอย่างต่อเนื่อง

ภาพสงครามเกาหลี







_______________________________________________________________

หลายปีผ่านไปเป็น 10ปี เกาหลีเหนือยิงตอปิโด โดนเรือโชนันของเกาหลีใต้ ทำให้สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีตึงเครียดยิ่งขึ้น









นานาประเทศประณามการกระทำของเกาหลีเหนือ แม้เกาหลีเหนือไม่ได้ยอมรับว่าได้กระทำก็ตาม



วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

30 ปี สงครามอัฟกา-สหภาพโซเวียต

      เมื่อ 30 ปี โซเวียตส่งกองทหารบุกเข้าไปในอัฟกานิสถาน พวกเขายึดครองประเทศยากจนนี้อยู่ 9 ปี เสียทหารไปราว 15,000 นาย และกลับออกมาในสภาพเดียวกับสหรัฐที่ส่งทหารไปรบในเวียดนาม 

หลัง กลับออกมาได้ไม่ช้าไม่นาน โซเวียตก็เกิดล่มสลายไปซะอีก นักวิเคราะห์ในยุคนั้นบางคนก็เลยมองว่า เป็นเพราะโซเวียตขุดเอาทรัพยากรธรมชาติ (น้ำมัน + ก๊าซธรรมชาติ) ไปขายมากมายเพื่อหาเงินมาทำสงคราม พอทรัพยากรพวกนี้หมด ประเทศก็เลยพัง

ปรากฏว่าปัจจุบัน รัสเซียกลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก แซงหน้าซาอุดิอาระเบียไปเรียบร้อยแล้ว 555555


สงครามครั้งนั้น ฝรั่งเรียกว่า Soviet War in Afghanistan บางตำราก็เรียกว่า Soviet–Afghan War และบางคนก็เรียกว่าสงครามเวียดนามของโซเวียต 

ย้อนความหลังกันนิดนึงถึงความเป็นมาของสงครามครั้งนั้น 

ปี 1978 พวกนิยมลัทธิมาร์กซ์ ก่อรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลอัฟกานิสถาน ผู้นำกลุ่มที่ชื่อ นูร์ มูฮัมหมัด ตารากี ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี ขณะที่ฮาฟิซุลลาห์ อามิน เป็นรองนายกรัฐมนตรี 

รัฐบาล ใหม่ดำเนินนโยบายปฏิรูปเป็นการใหญ่ เพื่อให้ประเทศที่ล้าหลังมีความทันสมัย โดยยึดรูปแบบของโซเวียตเป็นหลัก แต่หลายฝ่ายก็ไม่พอใจ จึงมีการลุกฮือของประชาชนต่อต้านรัฐบาลใหม่ และลุกลามไปทั่วประเทศ ซึ่งทางการก็ปราบปรามอย่างหนัก แต่ไม่ค่อยสำเร็จ ระหว่างนั้น อามินก็สังหาร ประธานาธิบดีและขึ้นเป็นผู้นำเสียเอง ตามที่ผู้นำโซเวียตได้เคยเตือนตารากีไว้ก่อนแล้วให้ระวัง


ระหว่าง โซเวียตกับอัฟกานิสถาน มีข้อตกลงทางการทหารร่วมกัน ซึ่งเปิดทางให้อัฟกานิสถานสามารถขอให้โซเวียตส่งทหารมาช่วยได้ และระหว่างที่เกิดปัญหาการจลาจลนี้ อัฟกานิสถานก็ขอให้โซเวียตส่งทหารมาช่วยหลายต่อหลายครั้ง แต่ละครั้งก็ขอมากขึ้นเรื่อยๆ แต่โซเวียตไม่ค่อยอยากส่งมาสักเท่าไหร่

แต่ การที่สหรัฐให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านมากขึ้น และการที่ผู้นำโซเวียตรู้สึกว่า อามิน จะทำให้สถานการณ์ต่างๆแย่ลง ตามมาด้วยการลอบสังหารตารากีโดยอามิน การส่งทหารมาช่วยของโซเวียตเมื่อ 24 ธันวาคมของเมื่อ 30 ปีก่อนจึงเป็นการส่งทหารมายึดครองประเทศ ส่วนอามินก็ถูกเคจีบีกำจัดไป 


มีข้อมูลส่วนหนึ่งที่คิดว่าน่าสนใจนำมาฝากกันครับ

โร เบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐคนปัจจุบัน ซึ่งเคยเป็น ผอ. ซีไอเอ ได้เขียนไว้ในหนังสือบันทึกความทรงจำของเขาที่ชื่อ From the Shadows ว่าหน่วยข่าวกรองสหรัฐให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านในอัฟกานิสถาน 6 เดือนก่อนที่โซเวียตจะบุกอัฟกานิสถาน ( 3 กรกฏาคม 1979 )

สบิ กเนียฟ เบรซีซินสกี้ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ก็ย้ำถึงเรื่องนี้ว่า เอกสารอย่างเป็นทางการบอกว่าซีไอเอให้การช่วยเหลือพวกมูจาฮีดีนในปี 1980 หรือหลังโซเวียตบุกแล้ว แต่ความเป็นจริงแล้ว มันเป็นคนละเรื่องกันเลย

เบร ซีซินสกี้เองก็มีบทบาทอย่างมากในการวางนโยบายเรื่องนี้ของสหรัฐ ที่บางเรื่อง แม้กระทั่งพวกมูจาฮีดีนเองก็ยังไม่รู้ อย่างการผลักดันให้โซเวียตเข้ามาแทรกแซงในอัฟกานิสถาน

เมื่อ ปี 1998 ในการให้สัมภาษณ์กับทาง Le Nouvel Observateur เขาบอกว่า สหรัฐไม่ได้ผลักดันให้โซเวียตเข้าแทรกแซง แต่ก็รู้ว่ามีความเป็นไปได้มากที่โซเวียตจะเข้าแทรกแซง เรื่องปฏิบัติการณ์ลับ (การสนับสนุนกลุ่มต่อต้าน ) เป็นแนวคิดที่ดีเยี่ยม มันก่อให้เกิดผลกระทบที่ทำให้โซเวียตเข้าไปติดอยู่ในกับดัก และวันที่โซเวียตข้ามพรมแดนเข้าไปอย่างเป็นทางการ เขาก็เขียนจดหมายถึงคาร์เตอร์ว่าตอนนี้ เรามีโอกาสที่จะให้สงครามเวียดนามกับสหภาพโซเวียตแล้ว

โนคอมเม้นต์ครับ 555555555 (แค่อยากจะบอกว่าตอนนี้สหรัฐก็เหยียบกับดักท่ตัวเองวางเอาไว้เอง )


พอดีไปเจอบทความของสำนักข่าว DPA ของเยอรมัน เลยแปลมาให้อ่านกัน เพราะเห็นว่าน่าสนใจดี ก็แปลมาทั้งหมดเลยครับ ไม่มีการตัดทอนใดๆ

ประจักษ์ พยานที่นิ่งเงียบแห่งความปราชัยของโซเวียตในอัฟกานิสถาน ยังคงส่งเสียงของความวังเวงอยู่แม้กระทั่งในปัจจุบัน รถถังกองทัพแดงที่สนิมจับเขรอะจอดนิ่งสนิทยังอยู่ในคู ในรถบางคน เด็กๆก็ลงไปเล่น

การ รุกรานอัฟกานิสถานของโซเวียตเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นการเริ่มต้นของสงครามที่ดำเนินมาถึงทุกวันนี้ ด้วยความรุนแรงและฝ่ายที่ลงไปทำสงครามที่หลายหลาก

ต้องใช้เวลากว่า 9 ปี ทหารของมหาอำนาจในสมัยนั้นจึงจะถอนออกไปได้ ชาวอัฟกันราว 1,200,000 รายเสียชีวิตระหว่างการยึดครอง


แต่ ในทุกวันนี้ มีชาวอัฟกันจำนวนมากขึ้น ที่มีทัศนะคติที่ดีต่อการยึดครองของโซเวียต ในฐานะของการวิจารณ์กองกำลังชาติตะวันตกที่เข้ามาอยู่ในประเทศ 8 ปีแล้ว

นู รุล ฮัค อูโลมี ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงรัฐสภาเคยมียศเป็นถึงนายพลในกองทัพอัฟกันสมัย โซเวียตปกครองประเทศ เขาบอกว่าเขาเชื่อว่าทหารต่างชาติในวันนี้แค่เสแสร้งว่ากำลังสู้รบกับการก่อ การร้าย 

" พวกเขาต้องการขยายอิทธิพลไปยังประเทศเพื่อนบ้านของเขา ไปยังรัฐในเอเชียกลางในทางเหนือ หรือทางตะวันตก (ตรงไปยังอิหร่าน ) " สมาชิกสภานิติบัญญัติจากจังหวัดกันดาฮาร์ทางภาคใต้บอก "  พวกเขาทำภายใต้การอ้างเรื่องเศรษฐกิจและประชาธิปไตย "

เขาบอกว่า ชีวิตในยุคโซเวียตนั้นดีกว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน


อดีตนายพล ไม่ใช่แค่คนเดียวที่เลือกฝ่ายโซเวียต

แม้ กระทั่งบางคนในกลุ่มมูจาฮีดีน ซึ่งก็คือนักรบใต้ดินมุสลิมที่ขับไล่พวกรัสเซียออกไป ก็ยังให้คะแนนกองทัพแดงดีกว่านาโต้ ที่ในปีหน้าจะส่งทหารมาประจำการณ์ในอัฟกานิสถานมากกว่าโซเวียตเป็นครั้งแรก
โดย เมื่อการเสริมกำลังตามแผนเดินทางมาถึง ทหารต่างชาติราว 150,000 นายจะอยู่ในอัฟกานิสถาน เทียบกับกองทัพแดงที่มีมากที่สุดแค่ 120,000 นาย

และพอถึงปี 2011 ทหารตะวันตก ก็จะอยู่ที่นี่นานกว่าโซเวียตด้วย


วาฮีด มุซห์ดา นักวิเคราะห์และนักเขียนเคยสู้รบกับกองทัพแดง และต่อมาในสมัยตาลีบัน ก็เคยดูแลหน่วยงานในกระทรวงต่างประเทศ

เขาบอกว่า " พฤติกรรมของพวกรัสเซียดีกว่าของพวกอเมริกันและชาติตะวันตกอื่นๆ

ยก ตัวอย่างเช่นไม่เคยมีใครจำได้ว่า ทหารโซเวียตเคยตรวจค้นร่างกายผู้หญิง เขาเสริมว่าแม้กระทั่งเมื่อรถถังรัสเซียเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อที่จะสู้รบ ทหารก็ยังมีขนมหวานมาแจกเด็กๆ พวกโซเวียตยังให้ความเคารพกับผู้อาวุโส ขณะที่พวกตะวันตกขังคุกแม้กระทั่งเด็กที่ค่ายเชลยศึกอ่าวกวนตานาโม

เขาบอกว่า นอกจากนั้น พวกรัสเซียยังติดต่อสื่อสารกับพวกมุสลิมมากกว่าที่พวกทหารตะวันตกทำ

มาซห์ดา บอกว่า การขาดแคลนความเคารพต่อวัฒนธรรมของชาวอัฟกัน นำไปสู่การสนับสนุนต่อตาลีบันที่เพิ่มขึ้นครั้งใหม่

ยุทธวิธี ที่โหดร้ายของกองทัพแดงถูกหลงลืมมากขึ้น มุซห์ดาบ่นว่าผู้หญิงและเด็กตายในปฏิบัติการณ์ทางทหารมากขึ้นในทุกวันนี้ และผู้เคราะห์ร้ายที่เป็นพลเรือน ก็ก่อให้เกิดความเป็นเดือดเป็นแค้นมากขึ้นในหมู่ชาวอัฟกัน


แต่ในสมัยโซเวียต มีพลเรือนตายมากกว่านี้มาก และตัวเลขดังกล่าวก็ได้ชี้ให้เห็นว่ามีความเมตตาน้อยแค่ไหนในกรณีพิพาทครั้งนั้น

ปัจจุบัน ยังไม่ชัดเจนว่า ชาวอัฟกันมากแค่ไหน ทั้งกลุ่มต่อต้าน ตำรวจ ทหาร และพลเรือน ที่เสียชีวิตนับตั้งแต่ที่มีการขับไล่รัฐบาลตาลีบันในปี 2001 แต่เชื่อว่าตัวเลขน่าจะอยู่ระดับ 5 หลัก ส่วนในยุคโซเวียต ชาวอัฟกันตายไปมากกว่าล้าน
ใน สงคราม 9 ปี ทหารกองทัพแดงตายไปราว 15,000 นาย แต่ใน 8 ปีแรกของกรณีพิพาทครั้งใหม่ ทหารตะวันตกตายไปมากกว่า 1,500 นาย แต่ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นทุกปี และการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้

แม้ จะมีความแตกต่างกันมากของระดับต่างๆ มุซห์ดา ก็มองเห็นการคู่ขนานกันไปของกรณีพิพาททั้งสอง พวกรัสเซียเจอกับพวกต่อต้านในเขตชนบท และเรื่องเดียวกันนั้นก็กำลังเกิดขึ้นตอนนี้

ทุก วันนี้ ทหารต่างชาติยังล้มเหลวในการที่จะต้องตระหนักว่าพวกเขาควรต้องร่วมมือกับคน ในชนบท และการที่กลุ่มต่อต้านก็ได้ประโยชน์จากประสบการณ์ของการสู้รบต่อต้านการ ปกครองของโซเวียต   

ดังนั้น สถานการณ์ทุกวันนี้ จึงอันตรายมากกว่าสมัยต่อต้านพวกรัสเซีย


มู นีร์ อัคเหม็ด คนงานก่อสร้างและอดีตทหาร มีเรื่องดีๆเกี่ยวกับโซเวียตมาพูดแค่ไม่กี่เรื่อง เขาบอกว่าพวกคอมมิวนิสต์ และรัสเซีย เป็นผู้รับผิดชอบต่อการที่อัฟกานิสถานกำลังถูกทำลายในทุกวันนี้

อย่าง ไรก็ตาม เขาบอกว่าภายใต้การยึดครองของโซเวียต ไม่มีระเบิดพลีชีพ และที่ไม่เหมือนพวกอเมริกันคือ โซเวียตช่วยเหลือคนจน ดังนั้นเมื่อเทียบกับพวกอเมริกันแล้ว พวกรัสเซียก็ยังคงดีกว่า

****หมาย เหตุ ภาพประกอบทั้งหมด วาดโดยอดีตทหารกองทัพแดงคนในภาพข้างบนนั่นแหละครับ เขาเคยถูกส่งเข้าไปรบในอัฟกานิสถาน และอุปกรณ์ในการวาดภาพของเขาก็คือ ปากกาลูกลื่นธรรมดาๆนี่เอง


วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

AK-47 และ M-16

เปรียบ มวย


http://patdollard.com/wp-content/uploads/ak47.jpg


ปืนค่าย ทุนนิยม M16 และ ปืนจากค่ายคอมมิวนิสต์ AK-47



สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาเปรียบเทียบ ปืนจากฝั่งโลกเสรี เอ็มสิบหก กับปืนจากโลกฝั่งคอมมิวนิสต์ เอเคสี่สิบเจ็ด

โดยผมจะเปรียบเทียบกัน ในบทบาทของสงครามเวียดนาม และ ในโลกของการใช้งานในปัจจุบันนะครับ



ปืน ''เอ็มสิบหก''



http://www.aceros-de-hispania.com/image/airsoft-ics-guns/m16-a3.jpg
ชื่อนี้เป็น ชื่อปืนที่คุ้นๆหู ใครหลายคน และเมื่อได้ยิน มักจะนึงไปถึงทหารอเมริกัน กำลังเดินลาดตระเวน และยิงพวกตาลีบัน หรือ ไม่ก้ ฉากทหารชุดเขียวๆกำลังเดิน ลาดตระเวนในดงป่าดงไพร

เอ็ม และยังคงเป็น ปืนในดวงใจ เด็กหลายๆคน เหมือนพระเอกในหนังบู้ เรื่องต่างๆ M16 มีน้ำหนักที่เบาความแม่นยำค่อนข้างสูง เลยเป็นที่นิยมกันในกองทหาร Nato และ เหล่าทหารอเมริกัน

http://img.redwolfairsoft.com/upload/gallery/AK47-800.jpg

เอเค สี่สิบเจ็ด หรือ อาก้า

เมื่อพูดถึงปืนอาก้า หลายๆคย จะนึกถึงพวกผู้ร้าย นักรบมูจาฮีดิน ตาลีบัน ที่เป็นตัวโกงในหนังภาพยนตร์ ซีรี่ยักๆ ต่างๆ หรือ ภาพกองกำลังทหารเวียตกง ลาดตระเวน ไล่ล่า ทหารเวียดนามใต้

ปืนอาก้ามีจุดเด่นตรงที่ มีความทนทานเป็นยอด กระสุนขนาดใหญ่เจาะเกราะศัตรูได้สบายๆ น้ำหนักไม่ถือว่ามากเกินไป ราคาก้ไม่แพงอย่างที่คุณคิด แต่ความแม่นยำนั้น สู้ M16 ไม่ได้เลย



Gun In Action



ทีนี้ เราจะมาเปรียบเทียบบทบาท ของปืนทั้งสองชนิดกัน ว่าในการสู้รบมีจุดเด่นจุดด้อยมากน้อยแค่ใหน



ในสงครามเวียดนาม สภาพป่าดิบชื้น ปืนเอ็มสิบหก แถมจะเรียกว่าเป็นท่อนไม้เลยก้ว่าได้ เพราะ โดนน้ำ นิดหน่อย สนิมกิน ทรายเข้าหน่อยยิงไม่ออก ต่างจากศัตรู อาก้า ที่ทนทานสุดยอด ฝังโคลน ฝังดิน แช่น้ำ ก้ไม่เป็นอะไร

แถมการรบในเวียดนามนั้น พวกเวียตกงชอบเล่นซ่อนแอบมากกว่า คือ ชอบโผล่มาระยะใกล้ๆ แล้วเปิดสึกโจมตีก่อนเลย กว่าทหารอเมริกันจะรู้ตัว ก้แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว เพื่อนก้โดนยิงร่วงลงไปแล้ว

จุดเด่นของปืนเอ็มสิกทีน ก้ช่วยอะไรไม่ได้ อุตส่ายิงโดนทหารเวียตกง แต่มันไม่แรงพอ ทหารเวียตกงไม่ตาย! เค้าสวนด้วยลูกกระสุนอาก้ากลับมา นัดเดียวตายตามเพื่อนไปเลย...

จุดเด่นของปืนเอ็มสิบหกก้คือ ความแม่นยำ ที่สูงแต่ในขณะที่ปืนอาก้ามีความแม่นยำที่ห่วยมาก แต่จะทำไงได้ ระยะใกล้ๆขนาดนี้ ต่อให้ห่วยแบบอาก้า ก้เหอะ มันต้องมีโดนซักนัดบ้างหล่ะน่า แถมเอ็มสิบหก ไม่ได้ทนขนาดอาก้าซักหน่อย แรงก้สู้ไม่ได้

เพราะเหตุนี้ ซีลของอเมริกันบางคน ยังต้องโยน เอ็มสิบหกทิ้งแล้วหยิบอาก้าของ ทหารเวียตกงมาใช้แทน.......


http://www.militaria.pl/upload/wysiwyg/gfx/produkty/8/M16_asg_w.jpg


ปืนเอ็มสิบหก มีข้อดีที่มีความแม่นยำ สูงน้ำหนัก เบา

ปืน อาก้า มีจุดเด่นตรงที่ ทนทานเป็นเลิศ กระสุนขนาดใหญ่กว่า (โดนยิงเจ็บกว่าแน่นอน) แต่กลุ่มห่วยมากๆ

แต่คุณลองนึกในการรบจริงๆ มองไม่เห็นหัวศัตรูด้วยซ้ำ ทั้งกดดันทั้งอะไร ยิ่งการรบในป่าแบบไทยด้วยแล้วยิ่งแล้วใหญ่ เวลาทหารเค้ารบกันจริงๆ เค้ายิงสุ่มๆมั่วๆกันมากกว่า ไม่มีเวลา เล็งนิ่งๆเป็นนาทีๆ หรอก

เพราะงั้น ปืนอาก้ามีจุดเด่นในการรบระยะใกล้และในตัวเมืองในป่า เอ็มสิบหกมีจุดเด่นในการรบในที่ราบ หรือ พื้นที่ โล่งๆ



ขอให้คะแนนตามความคิดของตนเองตามนี้









M16

ความแม่นยำ 10+

ความทนทาน 6+

ความรุนแรง 7

ราคา 4+ ( หมายเหตุ ในส่วนของราคา ยิ่งคะแนนน้อย คือยิ่งราคาแพง )

ความคุ้มค่า 8



จุดเด่น มีความแม่นยำสูง น้ำหนักเบา

จุดด้อย ไม่ทนต่อสภาพอากาศแบบป่าดิบชื้น ความทนทานต่ำ ความแรงต่อการปะทะ ต่ำ

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/3/36/Rifle_AK-47.jpg

AK 47



ความแม่นยำ 6+

ความทนทาน 9+

ความรุนแรง 9+

ราคา 10+ ( หมายเหตุ ในส่วนของราคา ยิ่งคะแนนน้อย คือยิ่งราคาแพง )

ความคุ้มค่า 8



จุดเด่น ความทนทานเป็นยอด แรงปะทะสูงมาก ราคาถูก หาจัดซื้อได้ง่าย

จุดด้อย ความแม่นยำค่อนข้างน้อย น้ำหนักมาก

_______________________________________________________

60 ปี AK47 ปืนไรเฟิ้ลจู่โจมที่ดีที่สุดในโลก

 

เมื่อ 60 ปีกว่าก่อน ปืนอาก้า - 47 (AK-47 : Автомат Калашникова образца 1947 года; Avtomat Kalashnikova obraztsa 1947 goda ; "Automatic rifle Kalashnikov model of 1947 year") ถูกนำเข้าประจำการณ์ในกองทัพสหภาพโซเวียตและได้กลายเป็นปืนคู่ใจทหาร โซเวียตในยุคสงครามเย็น รวมถึงทหารกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ และประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก แต่มันยังไปไกลกว่านั้นคือการเป็นที่ชื่นชอบของแก็งอาชญากรรมและกลุ่มกบฏ ซึ่งเรื่องนี้เองก็ทำให้นาย มิคาอิลกาลาชนิกอฟ (Mikhail Kalashnikov) ผู้ออกแบบปืนรู้สึกเสียใจมาจนถึงปัจจุบัน




AK - 47 หรือที่รัสเซียออกเสียงว่า อากา - 47 นั้น ตัว " อา " (A) ย่อมาจากคำว่า "อัฟตามัต" ที่แปลว่าปืนกล ส่วน "กา" (K) นั้นมาจากนามสกุลของผู้ออกแบบ ส่วนเลข 47 นั้นหมายถึงปี 1947 ที่นำออกใช้เป็นครั้งแรก
และ ในปี 2007 ที่ผ่านมาก็มีพิธีฉลองวันครบรอบ 60 ปี ของปืน อาก้า - 47 ที่กรุงมอสโก เพื่อเป็นเกียรติกับปืนและผู้ออกแบบ ส่วนเมื่อวาน ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย บอกผ่านแถลงการณ์ที่มีถึงประชุมที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติกับอาก้า - 47 ว่า นอกเหนือจากความโดดเด่นทางด้านนวัตกรรมของปืนอาก้า - 47 แล้ว มันยังเป็นสัญลักษณ์แห่งพรสวรรค์ และความอัจฉริยะในการประดิษฐ์คิดค้นของคนรัสเซีย จากลักษณะทางด้านเทคนิคที่ไม่เหมือนใครของมัน อาก้า - 47 ได้รับใช้รัสเซียอย่างซื่อสัตย์มานานหลายทศวรรษ


ด้าน นายกาลาชนิกอฟ วัย 87 ก็เรียกร้องให้มีการดำเนินการกับผู้ผลิตปืนปลอม ที่ทำให้ในแต่ละปี รัสเซียสูญเสียรายได้ไปราว 2 พันล้านดอลล่าร์ ประเมินกันว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของปืนอาก้า - 47 ที่ขายกันทั่วโลกล้วนแล้วแต่เป็นปืนที่ลักลอบผลิตทั้งนั้น ปืนปลอมเหล่านี้ทำกันใน 11 ประเทศทั่วโลก และหนึ่งในนั้นก็คือสหรัฐ ในแอฟริกาบางประเทศ ปืนรุ่นนี้ซื้อขายกันในราคาแค่กระบอกละ 30 ดอลล่าร์เท่านั้น



มัน ได้รับการยกย่องว่าเป็นปืนเล็กยาวจู่โจมจริงๆรุ่นแรก และได้รับการขนานนามว่าเป็นปืนจู่โจมระบบออโตเมติกที่ดีที่สุดในโลกและบางที อาก้า - 47 อาจจะได้ชื่อว่าปืนที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดในโลก เพราะตลอด 60 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่ามีการผลิตมันมากกว่า 100 ล้าน กระบอก และใช้กันในกองทัพ 55 ประเทศทั่วโลก
กา ลาชนิกอฟ ออกแบบปืนรุ่นนี้ตอนที่นอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังถูกปืนกลเยอรมันยิงเข้า เขาพัฒนาปืนรุ่นนี้โดยอาศัยพื้นฐานจากปืนไรเฟิลจู่โจม STG 44 (MP-44) ของเยอรมัน แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมรับก็ตาม


อเมริกันก็ยังนิยม
คุณสมบัติ เด่นของ อาก้า - 47 คือ แรง เรียบง่าย ใช้ง่าย ผลิตได้ถูก ง่ายต่อการทำความสะอาด และบำรุงรักษา ส่วนความทรหดอดทนและการไว้ใจได้ของมัน ประเภทลุยห้วยหนองคลองบึง มุดลงดินแล้วยังโผล่ออกมายิงได้เหมือนปกติของปืนรุ่นนี้ ต้องถือกันว่าเป็นระดับตำนานเลยทีเดียว

ปืนรุ่นนี้ รัสเซียอนุญาตให้มีการผลิตได้ในหลายประเทศ ในชื่อที่แตกต่างกันไป นอกจากนั้น มันก็ยังเป็นแม่แบบของการพัฒนาปืนอีกมากมายหลายแบบ (เท่าที่มีข้อมูลอยู่ในมือบอกว่ามี 48 แบบ) หลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย รัสเซียไม่ให้ประเทศเหล่านี้ผลิตปืนอีก แต่ก็ยังแก้ปัญหาการลักลอบผลิตไม่ได้
ความนิยมในปืนอาก้า ทำให้ภาพปืนไปปรากฎบนธงชาติของโมแซมบิก และธงของกลุ่มเฮซบุลเลาะห์ รวมทั้งไปอยู่บนโค๊ตออฟอาร์มของโมแซมบิกและบูร์คินาฟาร์โซ ไปอยู่บนโลโก้ของกองพลในอิหร่าน และเด็กแอฟริกาหลายคนถูกตั้งชื่อว่า กาลาช
" ผู้คนพากันถามว่า คุณนอนหลับได้ยังไง เมื่ออาวุธของคุณฆ่าคนไปมากมาย ผมก็บอกไปว่า หลับสนิทเลยละ พวกนักการเมืองต่างหากที่สมควรถูกตำหนิที่ไม่สามารถตกลงกันได้อย่างสันติ และสะสางปัญหาโดยไม่ต้องใช้อาวุธ ผมทำงานเพื่อการปกป้องปิตุภูมิจากคนต่างชาติเสมอ ขอให้ปืนของผมทั้งหมด จงรับใช้งานด้านการปกป้องปิตุภูมิเท่านั้น "


นอกจากนี่ AK ยังมีรุ่นใหม่ๆอีกมากมาย เช่น 47 tactical AK10X series

ต่อไปนี่คือประสบการณ์จากผู้ที่ใช้ AK47 กันอยู่ครับ



" ปืนกระบอกใช้ดีจริงๆนะหนู  ผลิตออกมาตั้งแต่สมัยปู่ยังวัยรุ่น ตอนนี่แก่แล้ว ยังยิงดีอยู่เลยนะแม่นด้วย "



" ปืนนี่ใช้ได้ดีจริงๆนะนายยจ๋า... เราเก็บอเมริคานนาา มาได้หลายคนแล้วด้วย AK47 ปืนประจำชาติของเราจ้านายจ๋า"



" ปืนนี่ ผู้ใหญ่ใช้ได้ เด็กใช้ดีครับผม ด้วยขนาดที่กระทัดรัดและสามารถพับท้ายได้ด้วย "



" ที่สำคัญเลยนะ  ผู้ใช้ AK ทุกคนมักจะมีหน้าตาดี "



" พวกเราจบ ปริญญาตรี จากมหาลัยโมซัมบิก สาขา AKศาสตร์ ครับ "



" ใครว่าคนป่าสมัยนี่เค้าใช้ หอกโล่อ่ะ คิดใหม่ได้แล้ว เดี๋ยวพวกเราใช้ AK 47 กันทั้งนั้น "

 

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

70 ปีแห่งความหลัง สิ่งที่ทุกคนลืม by รุสกี้


เมื่อ 70 ปีก่อน สหภาพโซเวียตไปจับมือกับเยอรมนี ทำสนธิสัญญาไม่รุกรานซึ่งกันและกัน และที่พ่วงท้ายสนธิสัญญาดังกล่าว มีการแบ่งเขตอิทธิพลระหว่าง 2 ประเทศ โดยภายใต้ข้อตกลง รัสเซียจะเข้าควบคุม 3 ประเทศเล็กๆแถบทะเลบอลติก และเกือบครึ่งหนึ่งของโปแลนด์ 


หลัง จากนั้นไม่นาน เยอรมนีก็เปิดฉากบุกโปแลนด์ นำไปสู่การเปิดฉากของสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างนั้น สหภาพโซเวียตก็ส่งทหารบุกยึดโปแลนด์ฝั่งตะวันออก รวมทั้งเอสโตเนีย ลัตเวีย และลิธัวเนีย

ทำไมสหภาพโซเวียต จึงต้องการดินแดนเหล่านี้ ? หลายคนอาจจะตั้งคำถาม

คำ ตอบแบบที่ง่ายๆที่สุดก็น่าจะเป็นเหมือนกรณีของคนไทยกับปราสาทพระวิหาร ที่ไม่ว่าใครจะตัดสินอย่างไร เราก็ยังอยากได้ดินแดนของเราคืนทุกกระเบียดนิ้ว โซเวียตก็เช่นเดียวกัน พวกเขาก็อยากได้ดินแดนของพวกเขากลับคืน ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนเหล่านี้เป็นของรัสเซียทั้งหมด พวกมันอยู่กับรัสเซียมาหลายร้อยปี

อย่าง กรณีของโปแลนด์นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 โปแลนด์ก็ไม่มีชื่ออยู่ในแผนที่โลก ดินแดนที่เป็นโปแลนด์ปัจจุบัน ถูกแบ่งไปอยู่กับรัสเซีย เยอรมนี และอื่นๆ 

หลัง สงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนี ที่ทำสงครามกับรัสเซีย แต่ต่างก็แพ้ทั้งคู่ คือรัสเซียยอมแพ้แก่เยอรมนี แต่ต่อมาเยอรมนีก็ยอมแพ้ในสงครามโลก โลกก็เลยมีดำริให้ก่อตั้งโปแลนด์ขึ้นมาอีกครั้ง โดยเจียดเอาดินแดนที่เคยเป็นของเยอรมนีและรัสเซียมาตั้งเป็นโปแลนด์ โดยเส้นพรมแดนด้านที่ติดกับรัสเซียนั้น รู้จักกันในชื่อเส้น CURZON แต่ตอนนั้นไม่มีฝ่ายใดยอมรับเส้นพรมแดนนี้ เพราะระหว่างนั้น รัสเซียกำลังมีสงครามกลางเมืองหลังการปฏิวัติภายในประเทศ ชาติยุโรปและเอเชียหลายสิบชาติก็เลยรุมกินโต๊ะรัสเซียหวังแย่งชิงดินแดน และหนึ่งในนั้นก็มีโปแลนด์ ประเทศเกิดใหม่ที่หวังจะขยายดินแดนเพิ่มมากขึ้นรวมอยู่ด้ว


ใน การสู้รบกับโปแลนด์ในครั้งนั้น ครั้งหนึ่งทหารกองทัพแดงของเลนิน สามารถบุกไปเกือบจะถึงกรุงวอร์ซออยู่แล้ว แต่โปแลนด์ก็ได้รับการช่วยเหลือชาติตะวันตก ทำให้สามารถตีโต้ แย่งชิงดินแดนคืนมาได้ มิหนำซ้ำยังรุกไล่เลยเส้น CURZON เข้ามาในเขตรัสเซีย 

รัสเซียที่ตอนนั้นง่อยเปลี้ยเสียขา เพราะต้องรบรอบด้าน จึงต้องยอมสงบศึก และเสียดินแดนให้โปแลนด์ไปมากมาย (คิดจากเส้น CURZON )

เมื่อ มีโอกาส สตาลินจึงชิงเอาดินแดนที่โปแลนด์แย่งชิงไปกลับคืน โดยการไปทำสัญญากับฮิตเลอร์ดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยงานนี้สหภาพโซเวียต เอาดินแดนเฉพาะที่ล้ำเส้น CURSON ที่เคยเป็นดินแดนในอดีตของพวกเขาเท่านั้น 

3 ประเทศแถบทะเลบอลติกก็เช่นเดียวกัน คือถือโอกาสที่รัสเซียอ่อนแอ แยกประเทศออกไป และสตาลินก็ต้องการเอาคืนทั้งหมด

เรื่อง การพยายามเอาดินแดนคืนนี้ รัสเซียผิดแน่นอน แต่ผมเข้าใจโซเวียตมากขึ้น เมื่อหันมามองกรณีปราสาทเขาพระวิหาร เพราะเราเองก็อยากได้ของๆเราคืนเช่นกัน 

ต่อ มา หลังจากที่ยึดครองยุโรปไปเกือบหมดสิ้น ฮิตเลอร์หวังที่จะพิชิตสหภาพโซเวียต ที่เขามองว่าเป็นประเทศกระจอกๆ แค่ถีบก็พังแล้ว ก็เลยส่งทหารบุก

สตา ลิน ซึ่งยังมึนๆอย่างหนัก กับการกลับกลอกของฮิตเลอร์ เห็นว่าทหารกองทัพแดงตายไปมากมาย โซเวียตเสียอาวุธยุทโธปกรณ์ไปอื้อ ไม่นับการเสียดินแดนกว้างใหญ่ สหภาพโซเวียตเห็นทีว่าควรจะยอมแพ้คงจะเป็นการดีกับทุกฝ่าย

แต่ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจไม่ยอมแพ้ และเดินหน้าสู้ทุกทาง สู้อย่างสุดแสนลำบาก สู้อย่างหมาจนตรอก และเกือบจะเป็นการสู้อย่างโดดเดี่ยว แต่ท้ายที่สุด สหภาพโซเวียตก็มีบทบาทสำคัญในการพิชิตเยอรมนี และปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 ไป

แต่ เรื่องการยึดโปแลนด์ และ 3 ประเทศแถบทะเลบอลติกของโซเวียต ก็ยังเป็นเรื่องที่ให้นักประวัติศาสตร์ตั้งหน้าตั้งตาถกเถียงกันมาหลายสิบปี ว่าความชั่วร้ายนี้ พอจะลบล้างกับความดีความชอบเรื่องการพิชิตนาซีได้หรือไม่

แต่ 70 ปีให้หลัง รัสเซียถูกชาวโลกรุมประณามจากกรณีดังกล่าวเสียจน จนดูเหมือนว่าพวกเขาเป็นคนก่อสงครามขึ้นมาเสียเอง อย่างเมื่อเร็วๆนี้ OSCE องค์กรด้านความมั่นคงของยุโรปชื่อดัง ก็ยังสรุปว่าเรื่องนี้เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดสงครามโลก และลัทธิสตาลิน มีความชั่วร้ายพอๆกับลัทธินาซี 

ซึ่ง รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียก็ต้องออกมาตอบโต้ว่าเรื่องนี้เป็นความพยายาม เขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ เพราะแม้แต่ในยุคสงครามเย็น ก็ยังไม่เคยมีใครนำเอาเรื่องความชั่วร้ายของนาซี มาเทียบกับลัทธิสตาลิน

ในสงครามโลกครั้งนั้น หลายประเทศต่างก็ทำผิดพลาดกันทั้งนั้น ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น โปแลนด์ ออสเตรีย เช็ค หรือ สหรัฐ

แต่ เท่าที่อ่านดูในข่าว รู้สึกว่าในปีที่ 70 ของการเริ่มต้นสงคราม ชาวโลกรู้สึกเฉยๆกับบทบาทของเยอรมนีในสงครามโลก แต่หันมารุมด่ารัสเซียกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ด่าจนส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอีกหลายประเทศ

และ ยิ่งด่ากันหนักในช่วงนี้ เพราะเมื่อวานที่ เมืองกดานส์ค ในโปแลนด์มีการรำลึกวันครบรอบ 70 ปีการเปิดฉากของสงครามโลก ที่ยุโรปทั้งทวีป ยังคงตั้งหน้าตั้งตาพากันโดดเดี่ยวรัสเซียสำหรับบทบาทในสงครามครั้งนั้น ไม่มีการให้เกียรติ ไม่มีอะไรเลย  มีแต่คำตำหนิ ติเตียน

อือ......เราคงลืมกันไปจริงๆว่าโซเวียตทำอะไรในสงครามโลก 

เรา คงลืมไปจริงๆว่า ประเทศที่กลายเป็นผู้ร้ายตัวสำคัญอย่างสหภาพโซเวียตในปัจจุบัน ได้สละชีวิตประชาชนของตนเอง 27 ล้านคนเพื่อสู้ในสงคราม ที่พวกเขาสามารถยอมแพ้ก็ได้ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ 

เรา คงลืมกันไปแล้วว่า พวกเขานำชัยชนะเหนือลัทธิฟาสต์ซิสต์มาให้ชาวโลก ทำให้คนผิวดำ ผิวเหลือง มีสิทธิมีเสียงเหมือนกับพวกที่ฮิตเลอร์บอกว่าเป็นพวกอารยัน ไม่ต้องตกเป็นทาส หรือถูกกวาดล้าง นำตัวไปฆ่าทิ้งทำเป็นปุ๋ย

ผมว่าเราลืมกันไปจริงๆ 

ความดีกับความชั่วมันหักล้างกันไม่ได้ แต่สำหรับรัสเซีย ประเทศอาภัพ ความดีก็มีมากมาย แต่ก็มักถูกทำเป็นลืมๆกันไป ส่วนความชั่วนั้น ทำยังไงก็ไม่ลืม 

หมายเหตุ

1 .ดินแดนที่โซเวียตยึดมาจากโปแลนด์ในช่วงสงคราม ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเบลารุส ลิธัวเนีย และยูเครน ไม่มีส่วนใดที่เป็นของรัสเซีย

2 . เมื่อเร็วๆนี้ ขณะที่นั่งเปิดอินเตอร์เน็ต หาข้อมูลอะไรไปเรื่อยๆ ก็เจอกับข้อมูลภาษาไทยที่ใครไม่รู้ทำเอาไว้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สรุปกันตั้งแต่การเปิดฉากสงครามไปจนถึงการยุติสงคราม ขนาดความยาวก็ไม่มากมาย แค่ 2 หน้าเท่านั้น 

แต่ ในนั้น ไม่มีคำว่า สหภาพโซเวียต หรือรัสเซีย แม้แต่คำเดียว ผมคนไทยก็ยังขำไม่ออกเลยครับ นี่ถ้าคนรัสเซียอ่านภาษาไทยออก คงนั่งร้องไห้ไปเลย 

เราคงลืมอะไรหลายๆอย่างกันไปแล้วจริงๆ

 

Ekranoplan

คุณคิดว่าภาพที่เห็นนี้คืออะไร เครื่องบินหรือว่าเรือ
บางคนอาจจะตอบแบบรวบหัวรวบหางว่า " เรือบิน  " 555555
แต่คำตอบที่ถูกก็คือ " เรือบิน " ครับ ที่เรียกมันว่าเรือ ก็เพราะที่จริงแล้วมันถูกจำแนกประเภทว่าเป็นเรือครับ
แต่ ที่ไม่เรียกว่าเครื่องบิน แม้มันจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเครื่องบิน ก็เพราะแม้มันจะบินได้ แต่มันก็บินสูงได้แค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น  
แต่ผมอยากจะเรียกมันว่าเครื่องบินเป็ดมากกว่า เพราะเป็ดก็มีปีก และหน้าตาเหมือนนก แต่บินไม่ค่อยได้
มัน เป็นยานพาหนะที่อยู่กึ่งกลางระหว่างยานโฮเวอร์คราฟท์กับเครื่องบิน ในภาษาไทยเรายังไม่มีใครบัญญัติศัพท์เรียกมันขึ้นมา เนื่องจากยานพาหนะแบบนี้ยังไม่แพร่หลาย แม้จะมีการพัฒนามาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วก็ตาม แต่ท่านนาวาโท ธำรงค์ เทียมเมฆ นายทหารไทยท่านหนึ่งแนะให้เรียกว่า " ยานเรี่ยพื้น "  ผมก็คิดว่าเหมาะสมดีครับ
ขณะ ที่ในศัพท์ทางวิชาการ บางคนเรียกมันว่า Ground Effect Vehicle  หรือ GEV เนื่องจากหลักการในการบินของมันใช้ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Ground Effect เป็นตัวช่วยยกมันขึ้นจากพื้น
รัส เซียเรียกมันว่า ekranoplan คำว่า plan นั้น ก็มาจากคำว่า plane ที่แปลว่าเครื่องบินนั่นเอง ส่วน Ekran ก็มาจากคำว่า Screen รวมแล้วน่าจะหมายถึงเครื่องบินที่บินบนที่เรียบๆราบๆ 
ใน ประเทศอื่น ก็อาจจะเรียกแตกต่างกันไป เช่น Hybrid Craft  , Wingship , AGEC (Aerodynamic Ground Effect Craft) ,  WISES (Wing In Surface Effect Ship) หรือ  WIGE  (Wing In Ground Effect)  แต่ผมขอเรียกตามแบบรัสเซียก็แล้วกัน
หาก จะกล่าวโดยทั่วไป Ekranoplan ก็คือเครื่องบินเราดีๆนี่เอง แต่ต่างจากเครื่องบินตรงที่หลักในการบินของมัน มันมีเครื่องยนต์ที่ทำให้มันพุ่งไปข้างหน้า ซึ่งก็เหมือนเครื่องบินทั้งหลาย แต่การยกตัวของมันเป็นแบบฉบับของ Ekranoplan โดยเฉพาะ
Ekranoplan ลำโต สามารถบินขึ้นสูงจากผิวน้ำ 2 - 3 เมตร เพราะ ground effect ที่ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าเบาะอากาศที่ระหว่างใต้ปีกกับพื้น โดยขณะที่ยานเคลื่อนที่ไปข้างหน้า อากาศระหว่างตัวยานกับพื้นผิวของโลกจะถูกอัด ทำให้เกิดสภาพเสมือนหนึ่งมีเบาะอากาศรองรับอยู่ใต้ยาน ทำให้ยานนั้นสามารถ ลอยตัวอยู่ในอากาศได้
ekranoplan จะไม่สามารถบินสูงจากพื้นผิวของโลกมากนัก เพราะหากบินสูงกว่านี้ ปรากฏการณ์เบาะอากาศจะไม่เกิดขึ้น    
ส่วน เครื่องบินลอยตัวอยู่ในอากาศ ได้ด้วยแรงยกของอากาศใต้ปีกเครื่องบิน อันเกิดจากการเคลื่อนที่ของอากาศด้านเหนือปีกมีความเร็วมากว่าด้านใต้ปีก
ekranoplan จึงเหมาะสำหรับการเคลื่อนที่ไปตามพื้นราบที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ อย่างเช่นพื้นน้ำหรือพื้นแผ่นดินที่มีลักษณะเป็นที่ราบสม่ำเสมอ
  
การ บินของมันประหยัดกว่าเครื่องบิน เพราะไม่ต้องใช้เครื่องยนต์แรงๆแบบเครื่องบิน ในทางทฤษฎีแล้ว มันสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ แต่ขณะเดียวกันมันก็สามารถเพิ่มความเร็วมากขึ้น เมื่อไม่ต้องมีปัญหาเกี่ยวกับแรงปะทะของคลื่นเหมือนกับเรือทั่วไป 
Ground Effect ถูกค้นพบมาตั้งแต่ที่เริ่มมีการพัฒนาเครื่องบินแล้ว โดยในตอนแรก มองว่าเรื่องนี้สร้างปัญหาให้กับเครื่องบินตอนที่นักบินพยายามนำเครื่องลง มันทำให้เครื่องบินสับสน ไม่รู้ว่าจะขึ้นหรือจะลงดี และในมุมมองของนักบิน และนักออกแบบเครื่องบิน เรื่องนี้เป็นโทษ แต่คนที่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ก็คือคนที่ออกแบบเรือความเร็วสูง
การ พัฒนา ekranoplan เริ่มขึ้นในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย โดยช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการสร้าง ekranoplan สำหรับใช้ในการศึกษา แต่ในยุค 60 เทคโนโลยีนี้เริ่มมีการพัฒนามากขึ้น ซึ่งก็เป็นผลมาจากการต่างคนต่างศึกษาวิจัยของชาย 2 คน
อเล็กเซเยฟ
โดยคนหนึ่งก็คือ อเล็กซานเดอร์ ลิปปิช วิศวรกรด้านอากาศพลศาสตร์ชาวเยอรมัน ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ รัสติสลาฟ อเล็กเซเยฟ นักออกแบบเรือชาวรัสเซีย ซึ่งแนวทางการพัฒนาของทั้งสองก็ยังพบเห็นได้ในยาน ekranoplan ยุคปัจจุบัน
อเล็ก เซเยฟสนใจ ekranoplan หลังจากที่เรือที่เขาออกแบบไม่สามารถฝ่ากำแพงความเร็วไปได้มากกว่า 100 - 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เขาเลยตัดสินใจเลิกต่อสู้กับกำแพงความเร็วของเรือ และหันไปสู่แนวทางใหม่ นั่นคือการยกเรือขึ้นจากน้ำ และเขาก็เริ่มต้นจากการทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือการสร้าง ekranoplan ลำที่ต่อมาเรียกกันว่า ปีศาจแห่งทะเลแคสเปี้ยน หรือ กาเอ็ม ( KM ) ที่ย่อมาจากคำว่า กาสปีสกี้ มอนสเตอร์ (ภาษาอังกฤษ เรียก Caspian Sea Monster ) ที่หนักถึง 550 ตั
ปีศาจแห่งทะเลแคสเปี้ยน
มัน เป็น ekranoplan ที่ใหญ่ที่สุด และทรงพลังที่สุดเท่าที่โลกเคยสร้างขึ้นมา มันสามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 544 ตัน ซึ่งเป็นสถิติสำหรับ Ekranoplan และเครื่องบินทุกลำในโลกนี้
ที่ น่าสนใจก็คือ อเล็กเซเยฟตายปีเดียวกันกับปีศาจแห่งทะเลแคสเปี้ยนของเขา โดยเขาตายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1980 ส่วนเจ้าปีศาจแห่งทะเลแคสเปี้ยน ก็ตายหลังจากนั้นไม่นาน ระหว่างการบินทดสอบครั้งหนึ่ง
ปีศาจ แห่งทะเลแคสเปี้ยนยาว 90 เมตร สูง 22 เมตร ความยาวปีก 37 เมตร ช่วงล่างของมันสร้างแบบเรือ แต่ด้านบนสร้างแบบเครื่องบิน ที่ส่วนหัว ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบ 8 เครื่อง แต่ละเครื่องมีแรงฉุด 10 ตัน ส่วนใหญ่แล้วพวกมันใช้ในการออกตัว ส่วนที่หางยังมีเครื่องยนต์แบบนี้อีก 2 ตัว เพื่อใช้ในการยกตัวขึ้นในสถานการณ์วิกฤติ
การ ทดสอบเครื่องบินเริ่มในปี 1966 ที่เมืองคาสปี้สกี้ การบินครั้งแรกกินเวลา 15 นาที มันทำความสูงได้เกือบ 4 เมตร และความเร็วระหว่าง 400 - 450 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การทดสอบไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่นนัก เพราะตัวเครื่องบินที่สร้างขึ้นมาในหลักการของเครื่องบินมีการสั่นอย่างมาก ก็เลยมีการแก้ปัญหากันแบบง่ายๆ ก็คือเสริมความแข็งแรงของลำตัว ด้วยแผ่นเหล็กหนา 20 มิลลิเมตร
อินทรีน้อย
ความสำเร็จในเรื่องนี้ทำให้ทางการโซเวียตสั่งให้ผลิต Ekranoplan ชั้น Orlyonok ( อินทรีน้อย ) ที่พัฒนาจากการพิจารณาข้อดีข้อด้อยของปีศาจแห่งทะเลแคสเปี้ยนสำหรับใช้ในทาง การทหาร ซึ่งการทดสอบ  Ekranoplan รุ่นใหม่ มีขึ้นในปี 1972 และก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความเร็วที่สูง การยกตัวขึ้นจากน้ำด้วยความเร็วที่ต่ำ
Orlyonok ที่หนัก 125 ตันสามารถบรรทุกนาวิกโยธินได้ 200 นาย หรือรถถัง 2 คัน มันเดินทางได้แม้ว่าจะเจอกับคลื่นสูง 4 เมตร และเดินทางได้ไกลถึง 1 พัน 500 กิโลเมตร มันทำความเร็วได้ถึง 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  มันไม่กลัวทุ่นระเบิด และการที่บินต่ำมาก ทำให้เรด้าร์ไม่สามารถตรวจจับมันได้
แต่ เดิม มีการสั่งสร้าง Orlyonok มากถึง 120 ลำสำหรับกองทัพเรือโซเวียต โดยหวังให้มันไปประจำการณ์แถบทะเลแคสเปี้ยน และทะเลดำ แต่ไปๆมาๆมีการผลิตออกมาแค่ 5 ลำเท่านั้น โดย 1 ลำสำหรับใช้ในการทดสอบ และ 4 ลำสำหรับใช้ในการบินจริง ซึ่งในจำนวนนั้นปรากฏว่าเสียไป 2 ลำ และการสูญเสีย 1 ลำในจำนวนนั้นทำให้นักบินตาย หลังจากนั้นการใช้งานพวกมันจึงหยุดล
ลูน
ลูกหลานของปีศาจแห่งทะเลแคสเปี้ยน อีกลำก็คือ Ekranoplan ชั้น Lun ( อ่านว่า ลูน )  ที่หนัก 400 ตัน มันเป็น Ekranoplan จู่โจม โซเวียตเริ่มพัฒนามันมาตั้งแต่ต้นยุค 70 มันยาวกว่า Orlyonok  8 เมตร และสูงกว่า 3 เมตร มันติดขีปนาวุธต่อต้านเรือรบที่ทรงพลังที่สุดในยุคนั้นคือขีปนาวุธความเร็ว เหนือเสียง TM 80 จำนวน 6 ลูก ในปี 1977 Lun  มีการซ้อมยิงจรวด และก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่ก็ปรากฏว่ามันไม่ได้ถูกนำเข้าประจำการณ์ และตอนนี้ มันก็ยังคงจอดตากแดดตากฝนมานานเป็นสิบปีแล้วเพื่อรอการตัดสินชะตากรรมว่าจะ เอาอย่างไรกันต่อไป
Lun ถือเป็น Ekranoplan ที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่อเล็กเซเยฟเคยสร้างมา มันสามารถบินท่ามกลางพายุระดับ 6 - 7  ได้ ขณะที่ปีศาจแห่งทะเลสาบแคสเปี้ยน ทำได้แค่ระดับ 3
จริงๆ แล้ว มันทำหน้าที่เป็นฐานยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ซึ่งก็เหมือนกับเรือรบลำหนึ่ง แต่มันเร็วกว่า 10 เท่า ขณะที่การสร้างและการใช้งานก็ถูกกว่า 2 เท่า แต่แน่นอนว่า มันไม่สามารถทำหน้าที่แทนเรือรบติดจรวด และก็ไม่มีใครอยากให้มันมาทำหน้าที่แทน หน้าที่หลักของมันก็คือการสนับสนุนเรือรบในพื้นที่จำกัด เช่นในทะเลดำ ทะเลบอลติก หรือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ปัจจุบัน ที่ฐานทัพที่คาสปีสกี้ มี Orlyonok  เหลืออยู่ 2 ลำ และ Lun อีก 1 ลำ พวกมันทำการบินให้ตัวแทนกองทัพสหรัฐได้ชมในปี 1993 หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำการบินอีกเลย  ซึ่งก็ประหลาดมาก เพราะสหรัฐอยากจะเห็นมันบินมาตลอด และเมื่อได้เห็นแล้ว สหภาพโซเวียตก็เก็บมันเข้ากรุ หลังจากนั้นสหภาพโซเวียตก็ล่มสลาย และรัสเซียก้าวเข้าสู่ระบบตลาดเสรี   ตอนนี้ก็เลยไม่รู้ว่า อนาคตของมันในรัสเซียจะเป็นอย่างไร แต่เท่าที่มีรายงาน ปรากฏว่านาโต้ กำลังศึกษาอากาศยานแบบนี้อย่างหนัก
หลัง สหภาพโซเวียตล่มสลาย รัสเซีย และโลกก็ยังคงมีการผลิต ekranoplan ขึ้นมาเช่นกัน แต่เป็นขนาดเล็กๆ สำหรับใช้ในด้านการพักผ่อนหย่อนใจ และการขนส่งพลเรือน (ขนาดประมาณ 10 ที่นั่ง ) โดยมีการผลิตมากที่เยอรมนี รัสเซีย และสหรัฐ ส่วนในประเทศอื่นก็มีการพัฒนาเช่นกันเช่นที่แคนาดา จีน และไต้หวัน